"ลอว์เรนซ์ หว่อง" จากเด็กชนชั้นกลางสู่นายกคนใหม่สิงค์โปร
สิงคโปรเตรียมเปลี่ยนผู้นำแล้วนะ “ลอว์เรนซ์ หว่อง” ว่าที่ผู้นำคนใหม่ จากชนชั้นกลาง
.
เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2565 ที่ผ่านมาสำนักนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ที่นำโดยเซียน หลุง ได้ปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยแต่งตั้งนายลอว์เรนซ์ หว่อง ซึ่งปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงการคลังแทนที่ นายเฮง สวี เกียต วัย 60 ปี ที่ประกาศลาออก ก่อนหน้านี้ นายเฮง เป็นผู้ที่ถูกจับตาอย่างมากว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนต่อไป แต่เขาประกาศเมื่อวันที่ 8 เม.ย.ว่า จะไม่รับตำแหน่งนายกฯ เพื่อเปิดทางให้ผู้นำอายุน้อยกว่าเข้ามาบริหารประเทศ สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วสิงคโปร์ ประเทศที่วางแผนถ่ายโอนอำนาจอย่างระมัดระวัง
.
แล้วใครคือ ลอว์เรนซ์ หว่อง คือหนึ่งในตัวเต็งนายกฯสิงคโปร์คนใหม่ เพราะสำหรับสิงคโปร์การตั้งรมว.คลังบ่อยครั้งถูกมองว่า เป็นการโยนหินถามทางถึงการดำรงตำแหน่งนายกฯ คนต่อไป แม้บรรดานักวิเคราะห์กล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่าใครจะรับตำแหน่งต่อจากนายกฯลี “ลอว์เรนซ์มีประสบการณ์ และมีคุณสมบัติเหมาะสมกับงาน” นายกฯ ลีกล่าวถึงรมว.คลังคนใหม่ขณะประกาศปรับ ครม. สำหรับนายลอว์เรนซ์ หว่อง ในวัย 48 ปี นั้นเป็นชนชั้นกลางของสิงคโปร ไม่ได้เป็นลูกหลานชนชั้นนำ จึงเป็นที่ฮือฮากันอย่างมาก
.
1. หว่องเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่เขาจำกัดความว่า “ครอบครัวธรรมดา” เขาอาศัยอยู่ในโครงการ Marine Parade (โครงการที่อยู่อาศัยแห่งแรกที่สร้างจากการถมทะเล)
พ่อของเกิดที่เกาะไหหลำของจีน และเดินทางมายังเมืองอิโปห์ในมาเลเซียตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ก่อนย้ายเข้ามาสิงคโปร์เพื่อทำงานด้านการขายให้กับ Sime Darby และได่แต่งงานกับแม่ของนายหว่องที่สิงคโปร์ ส่วนด้านแม่ของนายหว่องเป็นครู มีพี่ชายที่อายุมากกว่าสองปี ซึ่งเป็นวิศวกรการบินและอวกาศที่ DSO Laboratories
.
2. เขามีวัยเด็กที่แสนธรรมดา เข้าโรงเรียนอนุบาลในย่าน Marine Parade ก่อนไปโรงเรียนประถมศึกษา Haig Boys ที่แม่ของเขาสอนอยู่ที่นั่น โดยแม่เป็นคนมีวินัยทั้งในโรงเรียนและที่บ้าน และนั่นทำให้เขา “มีสำนึกในความรับผิดชอบอย่างแรงกล้า” นอกจากนี้ยังฝังแน่นหลักจริยธรรมในตัว เพื่อเป็นหลักว่าจะต้องทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ให้ดี หว่องไปเรียนมัธยมเทคนิค Tanjong Katong และเรียนต่อที่วิทยาลัย Victoria Junior ซึ่งเป็นโรงเรียนแถวบ้านธรรมดาที่ไม่ได้มีชื่อเสียง ซึ่งเขาได้รับทุนรัฐบาลไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาปริญญาตรี และปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน และมหาวิทยาลัยมิชิแกน-แอนน์ อาร์เบอร์ และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านการบริหารรัฐกิจจาก Harvard Kennedy School
.
3. หว่อง ได้โอกาศพิสูจน์ตัวเองกับการเป็นเลขาส่วนตัวนายกรัฐมนตรีลี เซียนลุงโดยเส้นทางของเขาหลังจากกลับมาใช้ทุนคือไปทำงานที่กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมและรับผิดชอบพัฒนาแบบจำลองทางเศรษฐกิจ เขาก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งในกระทรวงการคลังและสาธารณสุข ในฐานะผู้อำนวยการด้านการเงินด้านการดูแลสุขภาพที่กระทรวงสาธารณสุข และได้ดำเนินการปฏิรูป MediShield แผนประกันสุขภาพพื้นฐาน เพื่อให้ชาวสิงคโปร์ได้รับการคุ้มครองที่ดีขึ้นจากค่ารักษาพยาบาลที่สูงมาก จากนั้นนายหว่องก็ได้ดำรงตำแหน่งเลขาส่วนตัว (principal private secretary:PPS) ให้กับนายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง ในปี 2548
.
4. หลังจากทำงานรับใช้สาธารณะมาเป็นเวลา 14 ปี ก็ได้ลาออกเพื่อลงสมัครแข่งขันรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2554 และได้รับเลือกเป็น ส.ส. ของเขต West Coast GRC ปัจจุบันเป็น ส.ส.เขต Marsiling-Yew Tee GRC ในช่วงต้นของเส้นทางอาชีพของนายหว่อง เขาปฏิเสธข้อเสนอจากภาคเอกชน และทำงานกับรัฐบาล เพราะเห็นว่าเปิดให้เขาทำโครงการต่างๆ และโปรแกรมที่สามารถช่วยชาวสิงคโปร์ได้
.
5. หว่องมีชื่อเสียงว่าเป็นคนคิดนโยบาย เมื่อถูกถามถึงชื่อเสียง ในด้านนี้ในการให้สัมภาษณ์กับ The Sunday Times ในปี 2020 เขากล่าวว่า เป็นส่วนหนึ่งที่ผมถูกเลี้ยงดูมา… ว่าเมื่อทำอะไรก็ตามต้องใส่ทุกอย่างลงไป ต้องการที่จะเป็นเลิศจริงๆ “ นายหว่องกล่าวอีกว่า ”สิ่งที่คุณทำในแต่ละวัน ถ้าคุณทำได้ดี ถ้าคุณรับผิดชอบ ในตัวมันเองเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคุณเป็นคนตัวอย่าง คุณรู้ ส่องทางให้กับโลก
.
6. เดือนมกราคม2564 หว่องได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสำคัญของ Institute of Policy Studies (IPS) โดยกล่าวถึงประเด็นสำคัญของความไม่เท่าเทียมกันและการมีคุณธรรม ความยั่งยืน และความสามัคคีของสังคม หลังจากนั้นนายหว่องได้ร่วมเป็นวิทยากรในเวทีเสวนาเกี่ยวกับเชื้อชาติและการเหยียดเชื้อชาติในเดือนมิถุนายน และการเมืองเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์และอัตลักษณ์ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นปีที่ปัญหาเหล่านี้ปรากฏในสิงคโปร์ผ่านเหตุการณ์ที่มีการเผยแพร่อย่างกว้างขวางการกล่าวสุนทรพจน์ในเดือนมิถุนายนของเขาได้รับการยกย่องในบางแวดวง เพราะมีการนำเสนอแนวคิดที่ก้าวหน้าและก้าวหน้ากว่าปกติในหัวข้อที่มีการโต้เถียงกันบ่อยครั้ง จากนั้นเขาให้คำมั่นว่ารัฐบาลจะมีส่วนร่วมกับชาวสิงคโปร์ต่อไป และปรับปรุงนโยบายด้านเชื้อชาติและความสามัคคีทางเชื้อชาติ
.
และนี่คือตัวอย่างผลงาน และประวัติส่วนตัวของว่าที่ผู้นำประเทศสิงคโปร์ ซึ่งคงต้องคอยติดตามกันต่อไปว่า เขาจะนำพาสิงคโปร์หลังจากนี้ไปในรูปแบบไหน และจะพลิกหน้าประวัติศาสตร์และเศรษฐกิจของอาเซียนได้อย่างไร!
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
Slowmist Releases October Web3 Security Incident Report
TEAMZ Web3・AI Summit 2025: Bringing Global Leaders to Tokyo
Japan’s Crypto Industry to Launch “Self-Regulation” of Stablecoins
Russia Establishes Legal Framework and Standards for Crypto Mining
0.00
fpmarkets
DEEPCOIN
FXopen
OKEX kr
BSDEX
Vestle
TOPFX
ThinkMarkets
BINANCE US
Coincheck